Wednesday, April 15, 2015

องค์กรของคุณเกี่ยวข้องกับธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์หรือไม่



องค์กรของคุณเกี่ยวข้องกับ “ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์” หรือไม่?

หลายท่านอาจจะสงสัยว่า ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์คืออะไร? แล้วองค์กรของท่าน มีความเกี่ยวข้องกับธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์หรือไม่? อย่างไร?

ลองพิจารณาดูนะครับ ท่านจะเห็นได้ว่าการดำเนินธุรกิจของทุกองค์กรในปัจจุบันนี้ ไม่ว่าจะมีขนาดใหญ่หรือขนาดย่อม ต่างก็มีการใช้งานข้อมูลต่างๆ เป็นจำนวนมาก อาทิเช่น ข้อมูลสินค้า ข้อมูลวิจัยพัฒนา ข้อมูลการตลาด ข้อมูลการเงิน ข้อมูลลูกค้า และข้อมูลส่วนบุคคล เป็นต้น ซึ่งล้วนแล้วแต่ถูกเก็บรักษาและใช้งานบนระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และมีความเกี่ยวข้องกับธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์อย่างแน่นอน ในรูปแบบหลากหลายแตกต่างกันไป

ดังนั้น ทุกองค์กรจึงจำเป็นที่จะต้องปกป้องข้อมูลและการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ให้มีความมั่นคงปลอดภัยอยู่เสมอ สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างราบรื่นต่อเนื่องตลอดเวลา ในอีกมุมหนึ่ง ภาครัฐเองก็ให้ความสำคัญกับความมั่นคงปลอดภัยของการประกอบธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์เป็นอย่างมาก จึงได้ออกกฎหมายมาเพี่อควบคุมการดำเนินการต่างๆ ให้มีมาตรฐานและความน่าเชื่อถือ และองค์กรทุกแห่งมีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด


ในบทความนี้ ผมและทีมงาน DestinationOne จึงได้รวบรวมสาระสำคัญของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์มาให้ท่านที่สนใจได้ทำความเข้าใจเบื้องต้น ดังนี้

สาระสำคัญของกฎหมายธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ควรรู้..

กฏหมาย พระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๔

     >>ธุรกรรม” หมายความว่า การกระทําใดๆ ที่เกี่ยวกับกิจกรรมในทางแพ่งและพาณิชย์หรือ ในการดําเนินงานของรัฐตามที่กําหนดในหมวด ๔
      >> อิเล็กทรอนิกส์” หมายความว่า การประยุกต์ใช้วิธีการทางอิเล็กตรอน ไฟฟ้า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือวิธีอื่นใดในลักษณะคล้ายกัน และให้หมายความรวมถึงการประยุกต์ใช้วิธีการทาง แสง วิธีการทางแม่เหล็ก หรืออุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการประยุกต์ใช้วิธีต่างๆ เช่นว่านั้น
      >> ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์” หมายความว่า ธุรกรรมที่กระทําขึ้นโดยใช้วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน


กฏหมาย “ประกาศคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง ประเภทของธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ และหลักเกณฑ์การประเมินระดับผลกระทบของธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ตามวิธีการแบบปลอดภัย พ.ศ. ๒๕๕๕”

     >> โดยที่พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยวิธีการแบบปลอดภัยในการทําธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๕๓ กําหนดให้คณะกรรมการประกาศกําหนดประเภทของธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือหลักเกณฑ์ การประเมินระดับผลกระทบของธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้การทําธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ใด ที่ได้กระทําตามวิธีการแบบปลอดภัยที่คณะกรรมการกําหนดเป็นวิธีการที่เชื่อถือได้
     >> ข้อ ๒ ให้ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ในประเภทดังต่อไปนี้ ใช้วิธีการแบบปลอดภัยในระดับ เคร่งครัด
    • (๑) ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ด้านการชําระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ตามพระราชกฤษฎีกา ว่าด้วยการควบคุมดูแลธุรกิจบริการการชําระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๕๑
    • (๒) ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ด้านการเงินของธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจ สถาบันการเงิน
    • (๓) ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ด้านประกันภัยตามกฎหมายว่าด้วยประกันชีวิตและประกันวินาศภัย
    • (๔) ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ด้านหลักทรัพย์ของผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ตามกฎหมาย ว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
    • (๕) ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ที่จัดเก็บ รวบรวม และให้บริการข้อมูลของบุคคลหรือทรัพย์สิน หรือทะเบียนต่าง ๆ ที่เป็นเอกสารมหาชนหรือที่เป็นข้อมูลสาธารณะ
    • (๖) ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ในการให้บริการด้านสาธารณูปโภคและบริการสาธารณะที่ต้องดําเนินการอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา
     >> ข้อ ๙ หากปรากฏว่ามีผลประเมินที่เป็นผลกระทบในระดับสูงด้านหนึ่งด้านใดให้ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์นั้นต้องใช้วิธีการแบบปลอดภัยในระดับเคร่งครัด และหากมีผลกระทบในระดับกลางอย่างน้อยสองด้านขึ้นไปให้ใช้วิธีการแบบปลอดภัยในระดับกลางขึ้นไป
ในกรณีที่ไม่เป็นไปตามวรรคหนึ่ง ให้ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ใช้วิธีการแบบปลอดภัยในระดับไม่ต่ำกว่าระดับพื้นฐาน


กฏหมาย “ประกาศคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง มาตรฐาน การรักษาความมั่นคงปลอดภัยของระบบสารสนเทศตามวิธีการแบบปลอดภัย พ.ศ. ๒๕๕๕” 

     >> มาตรฐานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของระบบสารสนเทศเป็นมาตรการสําหรับใช้ในการควบคุมให้ระบบ สารสนเทศมีความมั่นคงปลอดภัย ซึ่งครอบคลุมการรักษาความลับ (Confidentiality) การรักษาความครบถ้วน (Integrity) และการรักษาสภาพพร้อมใช้งาน (Availability) ของระบบสารสนเทศและสารสนเทศในระบบ นั้น โดยการทําธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วยระบบสารสนเทศ ต้องดําเนินการตามมาตรการที่เกี่ยวข้องตามบัญชีแนบ ท้ายนี้และต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่ได้จากการประเมิน ทั้งนี้ มาตรฐานการรักษาความมั่นคง ปลอดภัยของระบบสารสนเทศ แบ่งออกเป็น ๑๑ ข้อ ได้แก่
    • (๑) การสร้างความมั่นคงปลอดภัยด้านบริหารจัดการ
    • (๒) การจัดโครงสร้างด้านความมั่นคงปลอดภัยของระบบสารสนเทศในส่วนการบริหารจัดการด้านความ มั่นคงปลอดภัยของระบบสารสนเทศ ทั้งภายในและภายนอกหน่วยงานหรือองค์กร
    • (๓) การบริหารจัดการทรัพย์สินสารสนเทศ
    • (๔) การสร้างความมั่นคงปลอดภัยของระบบสารสนเทศด้านบุคลากร
    • (๕) การสร้างความมั่นคงปลอดภัยด้านกายภาพและสภาพแวดล้อม
    • (๖) การบริหารจัดการด้านการสื่อสารและการดําเนินงานของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ระบบ คอมพิวเตอร์ระบบงานคอมพิวเตอร์และระบบสารสนเทศ
    • (๗) การควบคุมการเข้าถึงระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ระบบคอมพิวเตอร์ระบบงานคอมพิวเตอร์ระบบ สารสนเทศ ข้อมูลสารสนเทศ ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์และข้อมูลคอมพิวเตอร์
    • (๘) การจัดหาหรือจัดให้มีการพัฒนา และการบํารุงรักษาระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ระบบคอมพิวเตอร์ ระบบงานคอมพิวเตอร์และระบบสารสนเทศ
    • (๙) การบริหารจัดการสถานการณ์ด้านความมั่นคงปลอดภัยที่ไม่พึงประสงค์หรือไม่อาจคาดคิด
    • (๑๐) การบริหารจัดการด้านการบริการหรือการดําเนินงานของหน่วยงานหรือองค์กรเพื่อให้มีความ ต่อเนื่อง
    • (๑๑) การตรวจสอบและการประเมินผลการปฏิบัติตามนโยบาย มาตรการ หลักเกณฑ์หรือกระบวนการใด ๆ รวมทั้งข้อกําหนดด้านความมั่นคงปลอดภัยของระบบสารสนเทศ
เคล็ดลับสำคัญของความสำเร็จ คือ การที่ผู้บริหารระดับสูงและผู้ที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ทุกคนต้องศึกษาและทำความเข้าใจในสาระของข้อกฎหมาย เพื่อให้การสนับสนุนและวางแผนปฏิบัติการได้อย่างถูกต้องเหมาะสม เพื่อสร้างความมั่นคงปลอดภัยสำหรับข้อมูลและธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจในการดำเนินธุรกิจ และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้าต่อไปครับ



Content Cr : DestinationOne Counselor
Photo Cr: MS Clipart

No comments:

Post a Comment

Note: Only a member of this blog may post a comment.