ตัวอย่าง: เอกสาร ISO Scope Statement
ในโพสต์นี้ ทีมงาน DestinationOne ได้นำเอาตัวอย่างเอกสาร ISO Scope Statement ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญในการแสดงขอบเขตการจัดทำระบบมาตรฐานสากล ISO ขององค์กรมาฝากกันครับ
Note: DestinationOne ขอสงวนสิทธิ์ของตัวอย่างเอกสารนี้ โดยอนุญาตให้นำไปใช้เพื่อประโยชน์เชิงวิชาการหรือเพื่อการประยุกต์ใช้ภายในองค์กรเท่านั้น ห้ามนำไปใช้ ดัดแปลง หรือแอบอ้างเพื่อการหาประโยชน์เชิงการค้าโดยเด็ดขาด.
Wednesday, December 7, 2016
Wednesday, November 23, 2016
Best Practice เพื่อสยบความเสี่ยงอาชญากรรมไซเบอร์
Best Practice เพื่อสยบความเสี่ยงอาชญากรรมไซเบอร์
ยุคนี้ความปลอดภัยบนโลกไซเบอร์ก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าความปลอดภัยทางกายภาพแล้วนะครับ
เพราะคนเราทำงานและใช้ชีวิตประจำวันโดยผูกพันอยู่กับระบบเครือข่ายกันไม่น้อย
เรามีความเสี่ยงที่จะเสียทรัพย์เพราะถูกแฮ็ก Internet Banking ไม่ต่างจากการถูกล้วงกระเป๋าหรือย่องเบาขึ้นบ้าน บริษัทอาจจะถูกเรียกค่าไถ่โดยใช้
Ransomware ง่ายกว่าลักพาตัวผู้บริหารเสียอีก!
ความเสี่ยงเหล่านี้สร้างความกังวลให้กับองค์กรทั่วโลกล่ะครับ
ซึ่งจากการติดตามข้อมูลข่าวสารที่ผ่านมา
ผมก็พบว่าได้มีสถาบันหลายแห่งนำเสนอแนวทางในการป้องกันและลดความเสี่ยงที่อาจจะทำให้องค์กรต้องตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมไซเบอร์
ซึ่งโดยรวมแล้วแนวทางที่น่าจะเรียกได้ว่าเป็น Best Practice ในขณะนี้ ได้แก่
กำหนดนโยบายและใช้เครื่องมือบริหารจัดการรหัสผ่านที่เข้มข้น
นั่นก็คือองค์กรจะต้องมีมาตรการควบคุมการตั้งชื่อ การบริหาร และการเก็บรักษารหัสผ่านอย่างมีคุณภาพ
หากมีงบประมาณ องค์กรควรจะติดตั้งระบบที่ตรวจสอบความเข้มแข็งของรหัสผ่าน
และบังคับให้ผู้ใช้งานต้องเปลี่ยนรหัสผ่านทุกครั้งเมื่อถึงรอบระยะเวลาที่กำหนด
เป็นต้น
ต้องมีการประเมินความเสี่ยงของ Third
Party อาทิ Vendor, Supplier, Service Provider เป็นต้น เพื่อให้มั่นใจว่าหน่วยงานเหล่านี้มีการบริหารจัดการที่มั่นคงปลอดภัยเพียงพอ
เพราะหลายครั้งที่แฮ็กเกอร์มักจะเลือกทางอ้อม โดยโจมตีหน่วยงานภายนอกเพื่อหาทางลักลอบเข้าระบบของเป้าหมายอีกทีครับ
ต้องมีการตรวจพิสูจน์ตัวตนแบบหลายขั้นตอน (Multi-factor
Authentication) ซึ่งจะช่วยยกระดับความมั่นคงปลอดภัย เช่น การใช้ Token
ร่วมกับการพิมพ์รหัสผ่าน เป็นต้น
เปิดใช้งานการ
Log in แบบ Single-Sign-On (SSO) เพราะจะช่วยให้ผู้ใช้งานจดจำไอดีและรหัสผ่านเพียงหนึ่งชุดในการเข้าใช้งานระบบต่างๆ
ป้องกันความสับสน แต่ก็ต้องมั่นใจในการบริหารจัดการรหัสผ่านด้วยนะครับ (ย้อนกลับไปอ่านข้อแรก)
ให้สิทธิ์การเข้าถึงแบบจำกัดตามความจำเป็นเท่านั้น
ผู้ใช้งานจะต้องไม่ได้รับสิทธิพิเศษมากไปกว่าหน้าที่ของตนเพื่อจำกัดความเสี่ยงครับ
มีการตรวจสอบการใช้งานเสมอ
เพื่อมองหาว่ามีการเข้าระบบหรือการใช้งานที่ผิดปกติหรือไม่ โดยจะต้องมีผู้ตรวจสอบตามรอบระยะเวลาที่เหมาะสม
อาจจะเป็นรายวัน รายสัปดาห์ หรือแม้กระทั่งเรียลไทม์ถ้าระบบนั้นมีความสำคัญสูง
อีกทั้งยังควรจะมีการทบทวนโดยผู้มีอำนาจเพื่อความรัดกุมอีกระดับหนึ่งด้วยนะครับ
ให้การปกป้องระบบเครือข่ายภายในอย่างเข้มแข็ง
อาทิ การแบ่งแยกระบบสำคัญออกจากเครือข่ายอย่างเด็ดขาด, การเข้ารหัสข้อมูล, การติดตั้งระบบรักษาความมั่นคงปลอดภัย
เป็นต้น
มันไม่มี Best Practice อะไรที่ใช้ได้ผลเต็มที่
และที่เคยใช้ได้ในวันนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะใช้การได้ตลอดไปนะครับ
ทางที่ดีที่สุดคือการติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดและปรับปรุงการบริหารจัดการของตนเองให้เหมาะสมอยู่เสมอนี่เหละครับ
ดีที่สุด!!
Content Cr: DestinationOne Counselor
Photo Cr: ColourBox.com
Wednesday, November 16, 2016
เมื่อพนักงานรู้สึกว่าความมั่นคงปลอดภัยคือภาระ
เมื่อพนักงานรู้สึกว่าความมั่นคงปลอดภัยคือภาระ..
ในยุคที่
Internet of Things เริ่มครองเมืองและข้อมูลสำคัญส่วนหนึ่งมักจะถูกจัดเก็บไว้บน Cloud องค์กรต่างๆ จึงจำเป็นต้องมีการลงทุนทั้งเพื่อให้ได้มาซึ่งเทคโนโลยีอันทันสมัยและเพื่อปกป้องข้อมูลของตนเองเพิ่มขึ้น
แต่ปัญหาการรั่วไหลของข้อมูลส่วนใหญ่นั้นกลับไม่ได้มีสาเหตุมาจากแฮ็กเกอร์อย่างที่องค์กรเข้าใจ
เพราะสาเหตุหลักนั้นเกิดขึ้นจากตัวพนักงานภายในเสียเอง
การทำงานด้วยเทคโนโลยี
ทำให้พนักงานต้องเชื่อมต่อผ่านเครือข่ายแทบจะตลอดเวลา
แต่ไม่ใช่ว่าพนักงานทุกคนจะสามารถปฏิบัติได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
แม้ว่าองค์กรจะมีการกำหนดและบังคับใช้นโยบายและวิธีการดำเนินการต่างๆ
เพื่อปกป้องความมั่นคงปลอดภัย แต่การหลบเลี่ยงการปฏิบัติตามนโนบายเหล่านี้ช่วยให้พนักงานรู้สึกว่าตนเองทำงานได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น การแอบเอาแฟลชไดรฟ์มาบันทึกข้อมูลออกไปภายนอกโดยไม่ดำเนินการขออนุญาตและไม่เข้ารหัสข้อมูล
โดยลืมนึกไปว่าหากทำแฟลชไดรฟ์นั้นสูญหายหรือถูกขโมยจะมีผลร้ายตามมาอย่างไร
เคยมีผลการสำรวจของ
CEB Global ที่เผยให้เราทราบว่า อันที่จริงแล้วเหตุล่วงละเมิดความลับของข้อมูลราว 45%
เกิดขึ้นจากการกระทำโดยไม่เจตนาของพนักงาน ดังนั้น
ไม่ว่าองค์กรจะทุ่มงบประมาณไปมหาศาลเพียงใด
แต่หากพนักงานไม่มีความตระหนักและหลีกเลี่ยงการปฏิบัติตาม ความมั่นคงปลอดภัยก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องห่างไกล
อีกทั้งยังก่อให้เกิดความเสี่ยงและเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตทางธุรกิจ
ทั้งนี้
ยังมีผลวิจัยจากงานสำรวจดังกล่าว ซึ่งสรุปข้อเสนอแนะเกี่ยวกับประเด็นปัญหาอย่างน่าสนใจว่า..
องค์กรควรจะหลีกเลี่ยงการเก็บข้อมูลที่ไม่จำเป็น
– นี่เป็นวิธีการง่ายที่สุดในการปกป้องข้อมูลสำคัญเนื่องจากยังมีหลายองค์กรเข้าใจผิดว่า
การสร้างฐานข้อมูล Big Data นั้นคือการเก็บข้อมูลไว้ให้มากที่สุด
จึงทำให้เกิดการเก็บข้อมูลที่ไม่จำเป็นไว้เป็นจำนวนมหาศาล ซึ่งนอกจากจะเพิ่มต้นทุนด้านการบริหารจัดการแล้ว
ยังเป็นการเพิ่มความเสี่ยงของข้อมูลที่พนักงานสามารถเข้าถึงได้อีกด้วย
การสร้างนโยบายด้านความมั่นคงปลอดภัยที่สามารถเข้าใจและปฏิบัติตามได้ง่าย
– เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่องค์กรมักจะคิดว่าการสร้างมาตรการที่สลับซับซ้อนจะยิ่งช่วยเพิ่มความมั่นคงปลอดภัย
แต่อันที่จริงแล้วกลับยิ่งเป็นการผลักให้พนักงานยิ่งถอยห่าง
พนักงานจะรู้สึกว่าการปฏิบัติตามนโยบายและมาตรการเหล่านี้เป็นภาระและหาทางหลีกเลี่ยง
ผู้บริหารจึงควรหาวิธีการที่ประนีประนอมเพื่อให้พนักงานรู้สึกดีขึ้น
และเกิดความเข้าใจมากขึ้น เช่น การแบ่งชั้นความสำคัญของข้อมูล
และกำหนดความเข้มข้นของวิธีปฏิบัติให้เหมาะสม เป็นต้น
Content Cr: DestinationOne Counselor/HelpNetSecurity.com
Photo Cr: iStock Photo
Subscribe to:
Posts (Atom)